หลังจากได้คุยกับตัวแทนขาย ก็เลยได้รับรู้มาว่า
LCD TV ที่โฆษณาขายกัน จะดูได้จากชิบประมวลผล โดยแบ่งเป็นค่ายๆไป
ของ Panasonic ก็เป็น Vierra
ของ JVC ก็เป็น Dynapix
ของ Sony ก็เป็น Bravia
เป็นต้น
ดูชื่อชิบประมวลผลก็สามารถบอกยี่ห้อได้
ส่วนจอ IPS ที่ว่าแสดงผลดีที่สุด ตัวแทน JVC บอกว่าเป็นของ Panasonic (แต่ดูไปดูมาเหมือนไม่ใช่แฮะ ไม่ค่อยแน่ใจ)
ถ้ารวม SD CARD มาด้วยก็เป็นของ Panasonic เป็นหลัก
ถ้ามี USB ก็เป็นของ LG เป็นหลัก
JVC รู้สึกจะเน้นการลด noise ที่ภาค RF กับ Component ทำให้ดูทีวีชัด (ร้านแสงชัยแนะนำอีกที)
สุดท้ายก็ Panasonic
หวังว่าไม่ผิดหวังนะ
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552
ต่อเนื่อง LCD Panel - สีที่แสดงได้
จากคราวก่อนมีพูดถึง ว่า LCD Panel แบบ TN แสดงผลได้ 6 bit ในขณะที่ IPS และ VA แสดงได้ 8 bit เต็ม
โดยจอ IPS / VA จะสามารถรองรับ 24 bit true color ก็เลยงงๆว่าตกลงมันกี่บิตหรือกี่ไบต์ยังงัย
ก็เพิ่งได้ข้อสรุปว่า ไอ้ 8 bit ที่ว่าเนี่ย มันคือ 8 bit ต่อหนึ่งสี
เนื่องจากสีที่ใช้มันมี 3 สีคือ RGB ดังนั้นจำนวน bit ที่ใช้ทั้งหมดจริงๆ ก็คือ 8 + 8 + 8 = 24 bit นั่นเอง
แล้วเนื่องจากทั้งหมดมี 24 bit เฉดสีที่แสดงได้จริงๆทั้งหมดก็คือ 2 ยกกำลัง 24 = 16,777,216 สี หรือ 16.7 ล้านสีนั่นเอง
ในขณะที่ จอ TN แสดงได้สีละ 6 บิต รวมหมด 3 สี ก็แสดงได้เท่ากับ 6 + 6 + 6 = 18 bit
ก็แสดงว่าแสดงสีได้ทั้งหมด 2 ยกกำลัง 18 = 262,144 สี หรือ 2 แสนกว่าสีเท่านั้นเอง (ตาตูจะแยกแยะออกมั้ยน้า)
โดยจอ IPS / VA จะสามารถรองรับ 24 bit true color ก็เลยงงๆว่าตกลงมันกี่บิตหรือกี่ไบต์ยังงัย
ก็เพิ่งได้ข้อสรุปว่า ไอ้ 8 bit ที่ว่าเนี่ย มันคือ 8 bit ต่อหนึ่งสี
เนื่องจากสีที่ใช้มันมี 3 สีคือ RGB ดังนั้นจำนวน bit ที่ใช้ทั้งหมดจริงๆ ก็คือ 8 + 8 + 8 = 24 bit นั่นเอง
แล้วเนื่องจากทั้งหมดมี 24 bit เฉดสีที่แสดงได้จริงๆทั้งหมดก็คือ 2 ยกกำลัง 24 = 16,777,216 สี หรือ 16.7 ล้านสีนั่นเอง
ในขณะที่ จอ TN แสดงได้สีละ 6 บิต รวมหมด 3 สี ก็แสดงได้เท่ากับ 6 + 6 + 6 = 18 bit
ก็แสดงว่าแสดงสีได้ทั้งหมด 2 ยกกำลัง 18 = 262,144 สี หรือ 2 แสนกว่าสีเท่านั้นเอง (ตาตูจะแยกแยะออกมั้ยน้า)
วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552
LCD Panel ชนิดต่างๆ
กะลังอยากได้ LCD TV ซักเครื่อง
ปลายปีอย่างนี้ โปรโมชั่นเหลือล้น
ก็ต้องอ่าน Spec เทียบกับราคาซักหน่อย
หนึ่งในนั้นก็คือ Spec ของ LCD Panel
LCD Panel ก็มีชนิดหลักๆได้แก่
1. IPS (In Plane Switching) [S-IPS/H-IPS]
ถือเป็นจอที่ให้คุณภาพของภาพดีที่สุด
ความถูกต้องของสีสูง
มุมมองกว้้าง (viewing angle)
S-IPS ให้มุมมองกว้างที่สุดแล้ว สูงถึง 178 องศา
แต่ response time จะสูงไปหน่อย คือ 6 - 16 ms
สูงกว่าจอแบบ TN เล็กน้อย แต่ถ้าเล่นเกมส์เป็นหลักก็ต้องดูดีๆ
ส่วน H-IPS จะพัฒนามาให้มี contrast ratio สูงกว่า และ pixel pitch ก็น้อยกว่า ซึ่งคุณภาพของภาพก็จะดีกว่า S-IPS
2. VA (Vertical Alignment) [S-PVA/MVA]
ก็เป็นชนิดที่ให้คุณภาพของภาพรองลงเมื่อเทียบกับ IPS คือ สีถูกต้อง มุมมองกว้่าง
แต่ response time แย่กว่า IPS ซะอีก (ก็คือแย่กว่า TN ด้วย - แย่ที่สุดงัย)
ข้อดีของ VA คือ contrast สูง
ข้อด้อย คือ color shifting - คือไรไม่รู้ ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ผลของมันคือ รายละเอียดของเงาเวลาดูฉากมืดๆจะหายไปเวลาดูตรงๆ (ขนาดดูตรงๆนะเนี่ย)
3. TN (Twisted Nematic) ใช้มากสุดแระ เพราะถูก Response time ก็น้อย (ยิ่งน้อย ยิ่งดี) คือ 2 - 5 ms
แต่เทียบกับ IPS และ VA แล้ว คุณภาพของภาพต่ำสุด มุมมองภาพน้อยกว่า
แสดงสีได้แค่ 6-bit ต้องใช้เทคนิค dithering ในการจำลองการแสดงสี 8 bit หรือ 24 bit true color (มันต่างกันยังงัยวะ)
ส่วร IPS กับ VA แสดงได้ 8-bit - 16.7 ล้านสี ไม่ต้องใช้เทคนิคอะไรเลย
ข้อมูลจาก http://www.pchardwarehelp.com/guides/lcd-panel-types.php
ปลายปีอย่างนี้ โปรโมชั่นเหลือล้น
ก็ต้องอ่าน Spec เทียบกับราคาซักหน่อย
หนึ่งในนั้นก็คือ Spec ของ LCD Panel
LCD Panel ก็มีชนิดหลักๆได้แก่
1. IPS (In Plane Switching) [S-IPS/H-IPS]
ถือเป็นจอที่ให้คุณภาพของภาพดีที่สุด
ความถูกต้องของสีสูง
มุมมองกว้้าง (viewing angle)
S-IPS ให้มุมมองกว้างที่สุดแล้ว สูงถึง 178 องศา
แต่ response time จะสูงไปหน่อย คือ 6 - 16 ms
สูงกว่าจอแบบ TN เล็กน้อย แต่ถ้าเล่นเกมส์เป็นหลักก็ต้องดูดีๆ
ส่วน H-IPS จะพัฒนามาให้มี contrast ratio สูงกว่า และ pixel pitch ก็น้อยกว่า ซึ่งคุณภาพของภาพก็จะดีกว่า S-IPS
2. VA (Vertical Alignment) [S-PVA/MVA]
ก็เป็นชนิดที่ให้คุณภาพของภาพรองลงเมื่อเทียบกับ IPS คือ สีถูกต้อง มุมมองกว้่าง
แต่ response time แย่กว่า IPS ซะอีก (ก็คือแย่กว่า TN ด้วย - แย่ที่สุดงัย)
ข้อดีของ VA คือ contrast สูง
ข้อด้อย คือ color shifting - คือไรไม่รู้ ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ผลของมันคือ รายละเอียดของเงาเวลาดูฉากมืดๆจะหายไปเวลาดูตรงๆ (ขนาดดูตรงๆนะเนี่ย)
3. TN (Twisted Nematic) ใช้มากสุดแระ เพราะถูก Response time ก็น้อย (ยิ่งน้อย ยิ่งดี) คือ 2 - 5 ms
แต่เทียบกับ IPS และ VA แล้ว คุณภาพของภาพต่ำสุด มุมมองภาพน้อยกว่า
แสดงสีได้แค่ 6-bit ต้องใช้เทคนิค dithering ในการจำลองการแสดงสี 8 bit หรือ 24 bit true color (มันต่างกันยังงัยวะ)
ส่วร IPS กับ VA แสดงได้ 8-bit - 16.7 ล้านสี ไม่ต้องใช้เทคนิคอะไรเลย
ข้อมูลจาก http://www.pchardwarehelp.com/guides/lcd-panel-types.php
วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552
ls: command not found ใน csh script
เขียน csh script ตัวนึง
โดยมีช่วงนึงเขียนอย่างนี้
set path = `$DB path jobs $j`
set symbs = `ls ${path}/symbols/`
ผลปรากฏว่าทำงานไม่ได้ ขึ้นว่า ls: command not found
อึ้งสิ ls มันคำสั่งพื้นฐานนะเฟ่ย
เช็ค path setting ก็มี /bin อยู่ข้างในนะ
มันก็ยังไม่ได้
กว่าจะเอะใจว่าตูเซ็ตตัวแปร path ขึ้นมานี่หว่า
ดังนั้น path เดิมๆ มันก็หายไปน่ะสิ
ไม่แปลกที่มันจะหาคำสั่ง ls ไม่เจอ
กว่าจะหาเจอ เสียเวลาไปหลาย
พอรู้คำตอบ
ก็ระลึกชาติได้ทันทีเช่นกัน
ปัญหานี้ตูเคยเจอแล้วนี่หว่า แก้ได้แล้วด้วย
ไหงเสือกมาเป็นอีกฟะ เวงจิงๆ
หวังว่าคราวนี้จะจำขึ้นใจแล้วนะ
โดยมีช่วงนึงเขียนอย่างนี้
set path = `$DB path jobs $j`
set symbs = `ls ${path}/symbols/`
ผลปรากฏว่าทำงานไม่ได้ ขึ้นว่า ls: command not found
อึ้งสิ ls มันคำสั่งพื้นฐานนะเฟ่ย
เช็ค path setting ก็มี /bin อยู่ข้างในนะ
มันก็ยังไม่ได้
กว่าจะเอะใจว่าตูเซ็ตตัวแปร path ขึ้นมานี่หว่า
ดังนั้น path เดิมๆ มันก็หายไปน่ะสิ
ไม่แปลกที่มันจะหาคำสั่ง ls ไม่เจอ
กว่าจะหาเจอ เสียเวลาไปหลาย
พอรู้คำตอบ
ก็ระลึกชาติได้ทันทีเช่นกัน
ปัญหานี้ตูเคยเจอแล้วนี่หว่า แก้ได้แล้วด้วย
ไหงเสือกมาเป็นอีกฟะ เวงจิงๆ
หวังว่าคราวนี้จะจำขึ้นใจแล้วนะ
วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
set time zone - LANG บน solaris 5.8
บนเครื่อง Unix baseก ทั้งหลายมักจะมีปัญหาของการแสดงผลตัวอักษร ไม่มากก็น้อย
(จริงๆ Windows based มันก็มีปัญหาเหมือนกัน แต่วันนี้เจอบน Solaris อ่ะ)
คงเป็นเพราะระบบดั้งเดิมมันรองรับแต่ภาษาอังกฤษ
พอจะเอามาใช้กับภาษาอื่นๆก็ติดขัดขลุกขลักไปซะทุกที
ต่อให้ระบบหนึ่งรองรับได้ทุกภาษาแต่พอส่งไฟล์เข้าอีกระบบหนึ่งกลับพบว่าทำงานไม่ได้ เพราะไม่รองรับบางภาษา
ก็คงเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าทุกระบบจะรองรับมาตราฐาน unicode เดียวกัน (มั้ง)
ทีนี้ปัญหาของเราก็คือว่า เครื่อง Sun Blade สมัยเก่าๆ ซึ่งใช้ Solaris 5.8 เป็น OS
มันเคยถูก set Timezone ให้เป็นเมื่องไทย
การ set time zone สามารถทำได้ตั้งแต่ ตอนลง OS ครั้งแรก หรือการทำ sys-unconfig
ทีนี้พอ Time Zone มันเป็นประเทศไทย (จริงๆมันก็ถูกแล้ว เพราะเวลาจะได้ไม่เพี้ยน คือจะได้เป็น GMT+7)
เวลาใช้คำสั่ง ls -l ซึ่งมันจะแสดงเวลาของ files ด้วย โดยถ้าเราเป็น local user คือใช้งานหน้าเครื่อง เวลาที่แสดงให้เราเห็นจะเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอเราทำ telnet หรือ remote login จากเครื่องอื่น (Windows) พอทำ ls -l จะพบว่า server จะพยายามแสดงผลเวลาเ้ป็นภาษาไทย (เข้าใจว่างั้น เพราะมันโชว์ตัวยึกยือๆ เพื่อบอกให้รู้ว่ามันแสดงผลในภาษาอื่น) หรือถ้าเราใช้ ftp software เช่น ws-ftp ในการ LIST files จะพบว่า modified time มันจะเป็นช่องว่าง เนื่องจาก ws-ftp มันไม่้รู้ว่าเวลาที่ได้รับมันเป็นภาษาอะไร
เดือดร้อนเราจนได้
จริงอยู่ว่าเคย set บนเครื่อง HP-UX มาแล้ว
เลยคิดว่ามันเหมือนกัน
ก็เลยลองไปเช็คที่ไฟล์ /etc/dt/config/Xconfig (/usr/dt/config/Xconfig)
ลองแก้ไข แล้ว log out และ reboot ก็ไม่ได้
ลองตรวจสอบไฟล์หลายไฟล์จนเกือบถอดใจ
ก็ยังไม่ได้
จนมาเอะใจไฟล์ TIMEZONE ในห้อง etc (/etc/TIMEZONE)
เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเป็น link ของไฟล์ /etc/default/init
ซึ่งเป็นหนึ่งในไฟล์ config ตั้งต้น
เมื่อเข้าไปดูจะพบว่ามีการ config ค่าของ LC เอาไว้หลายค่า โดยบางค่าเช่น LC_TIME ถูกกำหนดให้มีค่าเป็น th_TH ซึ่งก็คือประเทศไทย
ค่าที่ถูกกำหนดใน file นี้จะมีผลสะท้อนเมื่อเราใช้คำสั่ง locale ในการตรวจสอบภาษาที่ระบบใช้
เมื่อเป็นเช่นนี้เลยทำการแก้ LC_TIME ให้มีค่าเป็น C
ลองรีบูต (จริงๆ log-out ก็น่าจะได้ แต่เอาชัวร์)
ก็พบว่าการ telnet หรือ ftp เข้ามาก็จะได้รับเวลาของ file ออกไปเป็นภาษาอังกฤษที่ถูกต้องซะที
ง่ายๆแค่นี้เลย - แต่หานานมาก
(จริงๆ Windows based มันก็มีปัญหาเหมือนกัน แต่วันนี้เจอบน Solaris อ่ะ)
คงเป็นเพราะระบบดั้งเดิมมันรองรับแต่ภาษาอังกฤษ
พอจะเอามาใช้กับภาษาอื่นๆก็ติดขัดขลุกขลักไปซะทุกที
ต่อให้ระบบหนึ่งรองรับได้ทุกภาษาแต่พอส่งไฟล์เข้าอีกระบบหนึ่งกลับพบว่าทำงานไม่ได้ เพราะไม่รองรับบางภาษา
ก็คงเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าทุกระบบจะรองรับมาตราฐาน unicode เดียวกัน (มั้ง)
ทีนี้ปัญหาของเราก็คือว่า เครื่อง Sun Blade สมัยเก่าๆ ซึ่งใช้ Solaris 5.8 เป็น OS
มันเคยถูก set Timezone ให้เป็นเมื่องไทย
การ set time zone สามารถทำได้ตั้งแต่ ตอนลง OS ครั้งแรก หรือการทำ sys-unconfig
ทีนี้พอ Time Zone มันเป็นประเทศไทย (จริงๆมันก็ถูกแล้ว เพราะเวลาจะได้ไม่เพี้ยน คือจะได้เป็น GMT+7)
เวลาใช้คำสั่ง ls -l ซึ่งมันจะแสดงเวลาของ files ด้วย โดยถ้าเราเป็น local user คือใช้งานหน้าเครื่อง เวลาที่แสดงให้เราเห็นจะเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอเราทำ telnet หรือ remote login จากเครื่องอื่น (Windows) พอทำ ls -l จะพบว่า server จะพยายามแสดงผลเวลาเ้ป็นภาษาไทย (เข้าใจว่างั้น เพราะมันโชว์ตัวยึกยือๆ เพื่อบอกให้รู้ว่ามันแสดงผลในภาษาอื่น) หรือถ้าเราใช้ ftp software เช่น ws-ftp ในการ LIST files จะพบว่า modified time มันจะเป็นช่องว่าง เนื่องจาก ws-ftp มันไม่้รู้ว่าเวลาที่ได้รับมันเป็นภาษาอะไร
เดือดร้อนเราจนได้
จริงอยู่ว่าเคย set บนเครื่อง HP-UX มาแล้ว
เลยคิดว่ามันเหมือนกัน
ก็เลยลองไปเช็คที่ไฟล์ /etc/dt/config/Xconfig (/usr/dt/config/Xconfig)
ลองแก้ไข แล้ว log out และ reboot ก็ไม่ได้
ลองตรวจสอบไฟล์หลายไฟล์จนเกือบถอดใจ
ก็ยังไม่ได้
จนมาเอะใจไฟล์ TIMEZONE ในห้อง etc (/etc/TIMEZONE)
เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเป็น link ของไฟล์ /etc/default/init
ซึ่งเป็นหนึ่งในไฟล์ config ตั้งต้น
เมื่อเข้าไปดูจะพบว่ามีการ config ค่าของ LC เอาไว้หลายค่า โดยบางค่าเช่น LC_TIME ถูกกำหนดให้มีค่าเป็น th_TH ซึ่งก็คือประเทศไทย
ค่าที่ถูกกำหนดใน file นี้จะมีผลสะท้อนเมื่อเราใช้คำสั่ง locale ในการตรวจสอบภาษาที่ระบบใช้
เมื่อเป็นเช่นนี้เลยทำการแก้ LC_TIME ให้มีค่าเป็น C
ลองรีบูต (จริงๆ log-out ก็น่าจะได้ แต่เอาชัวร์)
ก็พบว่าการ telnet หรือ ftp เข้ามาก็จะได้รับเวลาของ file ออกไปเป็นภาษาอังกฤษที่ถูกต้องซะที
ง่ายๆแค่นี้เลย - แต่หานานมาก
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552
convert APE to MP3
APE ก็เป็น Loss Less Audio Format ชนิดหนึ่ง
(มีหลายชนิดเนอะ)
และเราก็ต้องการแปลงเป็น MP3 เพราะจะเอาไปเปิดฟังกับโปรแกรมฟังเพลงทั่วไป หรือไรท์ใส่แผ่น
ก็เลยต้องหาวิธีนิดนึ่ง
วิธีที่ดีที่สุดแล้วก็ฟรีด้วยคือ download โปรแกรม Monkey's Audio จาก websiteนี้
ซึ่งเป็น website ของผู้พัฒนา format นี้เอง
download และ setup ให้เสร็จ จากนั้นเปิดโปรแกรมขึ้นมา

เลือก mode เป็น decompress (ไม่ได้ลองว่าถ้าเลือก convert จะทำได้หรือเปล่า)
เลือกไฟล์ที่จะแปลง แล้วสั่ง convert เป็น mp3 ได้เลย
แต่เนื่องจากลบไฟล์ APE ไปแล้วเลยไม่มีตัวอย่างทดลองให้ดู
(มีหลายชนิดเนอะ)
และเราก็ต้องการแปลงเป็น MP3 เพราะจะเอาไปเปิดฟังกับโปรแกรมฟังเพลงทั่วไป หรือไรท์ใส่แผ่น
ก็เลยต้องหาวิธีนิดนึ่ง
วิธีที่ดีที่สุดแล้วก็ฟรีด้วยคือ download โปรแกรม Monkey's Audio จาก websiteนี้
ซึ่งเป็น website ของผู้พัฒนา format นี้เอง
download และ setup ให้เสร็จ จากนั้นเปิดโปรแกรมขึ้นมา

เลือก mode เป็น decompress (ไม่ได้ลองว่าถ้าเลือก convert จะทำได้หรือเปล่า)
เลือกไฟล์ที่จะแปลง แล้วสั่ง convert เป็น mp3 ได้เลย
แต่เนื่องจากลบไฟล์ APE ไปแล้วเลยไม่มีตัวอย่างทดลองให้ดู
convert FLAC to MP3
FLAC เป็น Loss Less Audio Encode ชนิดหนึ่ง
แต่ PLAYER ทั่วไปไม่ค่อยอยากเล่น หรือเล่นได้แต่ต้องมี Encoder ที่เหมาะสม
เนื่องจากไม่อยากเปลี่ยน player ไปๆมาๆ เลยหาวิธี convert ไฟล์ FLAC ให้เป็น MP3 ซะให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
วิธีนึงที่หาได้แล้วน่าจะฟรีคือ foobar และ lame
foobar เป็น player ตัวหนึ่ง
FOOBAR
lame เป็น FLAC encoder
LAME webpage
เป็น file zip แตกแล้วข้างในจะมีไฟล์ lame.exe
จริงๆจะใช้ foobar เล่นเลยก็ได้ ลง encoder ให้เหมาะสมก็เล่นได้แล้ว
แต่วันนี้จะแปลงเป็น mp3 เลยต้องทำอย่างนี้
เปิดโปรแกรมขึ้นมา เลือกเปิดไฟล์ FLAC

เลือกไฟล์ที่จะแปลง ซึ่งก็คงจะทุกไฟล์ แล้วคลิกขวา เลือก convert แล้ว เลือก ... เพื่อตั้งค่าในการแปลงไฟล์
ถ้าเคยแปลงแล้วสามารถเลือก last used setting ได้

หน้าจอจะแสดง setup ตามรูป
เลือกให้แปลงเป็น MP3
แก้ไขตามที่จำเป็น (หรือต้องการ) เช่น บิตเรท เป็นต้น

กดโอเคเมื่อไหร่มันจะแปลงให้
ถ้าใช้ครั้งแรกมันจะถามหาว่า lame.exe อยู่ที่ไหน
ก็บอกตำแหน่งให้ software ไป
เดี๋ยวมันก็แปลงให้ทั้งหมด
ซึ่งใช้เวลาไม่นานนักในการแปลง (ห้าหกไฟล์ประมาณ 1 นาที)
แต่ PLAYER ทั่วไปไม่ค่อยอยากเล่น หรือเล่นได้แต่ต้องมี Encoder ที่เหมาะสม
เนื่องจากไม่อยากเปลี่ยน player ไปๆมาๆ เลยหาวิธี convert ไฟล์ FLAC ให้เป็น MP3 ซะให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
วิธีนึงที่หาได้แล้วน่าจะฟรีคือ foobar และ lame
foobar เป็น player ตัวหนึ่ง
FOOBAR
lame เป็น FLAC encoder
LAME webpage
เป็น file zip แตกแล้วข้างในจะมีไฟล์ lame.exe
จริงๆจะใช้ foobar เล่นเลยก็ได้ ลง encoder ให้เหมาะสมก็เล่นได้แล้ว
แต่วันนี้จะแปลงเป็น mp3 เลยต้องทำอย่างนี้
เปิดโปรแกรมขึ้นมา เลือกเปิดไฟล์ FLAC

เลือกไฟล์ที่จะแปลง ซึ่งก็คงจะทุกไฟล์ แล้วคลิกขวา เลือก convert แล้ว เลือก ... เพื่อตั้งค่าในการแปลงไฟล์
ถ้าเคยแปลงแล้วสามารถเลือก last used setting ได้

หน้าจอจะแสดง setup ตามรูป
เลือกให้แปลงเป็น MP3
แก้ไขตามที่จำเป็น (หรือต้องการ) เช่น บิตเรท เป็นต้น

กดโอเคเมื่อไหร่มันจะแปลงให้
ถ้าใช้ครั้งแรกมันจะถามหาว่า lame.exe อยู่ที่ไหน
ก็บอกตำแหน่งให้ software ไป
เดี๋ยวมันก็แปลงให้ทั้งหมด
ซึ่งใช้เวลาไม่นานนักในการแปลง (ห้าหกไฟล์ประมาณ 1 นาที)
Cute FTP - account password extract

จากบทความเมื่อกี้ไฟล์ sm.dat เก็บ account ทั้งหมดของ ftp site เอาไว้
ถ้าเราลองเปิดเข้าไปในไฟล์โดยใช้ HEX editor จะได้หน้าตาแบบนี้
สีเหลืองคือชื่ออ้างอิงของ account
สีม่วงคือ ftp site address
สีเขียวคือ account name
สีฟ้าคือ password

ตัวอักษร 1 ตัวที่อยู่ระหว่าง account name กับ password จะหมายถึงจำนวนตัวอักษรของ password
ตัวอย่างคือ 0A ซึ่งเป็น เลขฐาน 16 เมื่อแปลงเป็นเลขฐาน 10 จะได้เท่ากับ 10 ตัวอักษร

password ในตัวอย่างคือ F9 FA FB FC FD A9 AA AB AC AD
ก็มาถอดรหัสตามตารางข้างล่างนี่

เทียบแล้วปรากฏว่า password ของเราคือ
Cute FTP - account copy
มีเหตุให้ต้อง format harddisk นิดนึง
ghost windows ลงได้ไม่มีปัญหาอะไร
แต่ มันก็มีอะไรเล็กน้อยจุกจิกๆ กวนใจอยู่หน่อยนึงล่ะนะ
ปัญหาคือ FTP ที่ใช้ก็คือ CuteFTP เนี่ยแหล่ะ ข้อมูล account user password ไม่เคยจะจำได้ (จริงๆ จำได้เกือบหมด ยกเว้น password)
ทีนี้จำเป็นต้องใช้ด้วยจะทำงัย ยังดีมี backup harddisk เก่าอยู่
เราสามารถค้นหาไฟล์ที่เก็บ account เหล่านั้นจากตำแหน่งดังนี้
C:\Documents and Settings\USERNAME\Application Data\GlobalSCAPE\CuteFTP Pro\8.0\sm.dat
ไฟล์ sm.dat นี่แหล่ะที่เก็บข้อมูล ftp site, username และ password เอาไว้
ก็ก็อบไปใช้ได้เลย
ค่อนข้างง่าย
Note. มีวิธีอ่านค่า password จากไฟล์ sm.dat ด้วย
เพราะถึงแม้ CuteFTP จะเข้ารหัสเอาไว้ก็เถอะ มันก็เป็นการเข้ารหัสอย่างง่ายๆๆๆ
แล้วจะมาว่ากันต่อ
ghost windows ลงได้ไม่มีปัญหาอะไร
แต่ มันก็มีอะไรเล็กน้อยจุกจิกๆ กวนใจอยู่หน่อยนึงล่ะนะ
ปัญหาคือ FTP ที่ใช้ก็คือ CuteFTP เนี่ยแหล่ะ ข้อมูล account user password ไม่เคยจะจำได้ (จริงๆ จำได้เกือบหมด ยกเว้น password)
ทีนี้จำเป็นต้องใช้ด้วยจะทำงัย ยังดีมี backup harddisk เก่าอยู่
เราสามารถค้นหาไฟล์ที่เก็บ account เหล่านั้นจากตำแหน่งดังนี้
C:\Documents and Settings\USERNAME\Application Data\GlobalSCAPE\CuteFTP Pro\8.0\sm.dat
ไฟล์ sm.dat นี่แหล่ะที่เก็บข้อมูล ftp site, username และ password เอาไว้
ก็ก็อบไปใช้ได้เลย
ค่อนข้างง่าย
Note. มีวิธีอ่านค่า password จากไฟล์ sm.dat ด้วย
เพราะถึงแม้ CuteFTP จะเข้ารหัสเอาไว้ก็เถอะ มันก็เป็นการเข้ารหัสอย่างง่ายๆๆๆ
แล้วจะมาว่ากันต่อ
วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ก้อนดำๆบน mainboard
mainboard รุ่นที่มันคุณภาพดีๆหน่อย ราคาแพงนิดๆ จะมีก้อนสี่เหลี่ยมสีดำๆอยู่หลายอัน
อ่านในนิตยสารบอกว่า mainboard พวกนี้ดี จ่ายไฟ 4 เฟสยังงั้น 8 เฟสยังงี้ ตัวนี้ 16 เฟส
ก็นับตามมันไป 4 เฟส ก็มี 4 ลูก 8 เฟส ก็ 8 ลูก แต่ว่า แล้วมันคือไรหว่า
สงสัยอยู่นานว่ามันคือไร จนบังเอิญเจอรูปนี้ จาก Gigabyte

อ่อ Ferrite Core หรือ Choke นั่นเอง
มันน่าจะเอาไว้กันกระแสเกินไม่ใช่เรอะ คงต้องไปดูการทำงานของมันก่อน (ทีหลัง)
ที่มาของรูป http://th.giga-byte.com/FileList/WebPage/mb_081027_x58/data/tech_081027_x58_ud3.htm
อ่านในนิตยสารบอกว่า mainboard พวกนี้ดี จ่ายไฟ 4 เฟสยังงั้น 8 เฟสยังงี้ ตัวนี้ 16 เฟส
ก็นับตามมันไป 4 เฟส ก็มี 4 ลูก 8 เฟส ก็ 8 ลูก แต่ว่า แล้วมันคือไรหว่า
สงสัยอยู่นานว่ามันคือไร จนบังเอิญเจอรูปนี้ จาก Gigabyte

อ่อ Ferrite Core หรือ Choke นั่นเอง
มันน่าจะเอาไว้กันกระแสเกินไม่ใช่เรอะ คงต้องไปดูการทำงานของมันก่อน (ทีหลัง)
ที่มาของรูป http://th.giga-byte.com/FileList/WebPage/mb_081027_x58/data/tech_081027_x58_ud3.htm
FTPd ไม่ยอมทำงานให้ user บางคน
ถึงกับงง เมื่อเจอเคสที่ ftp ทำงานเฉพาะ user root เท่านั้น
ลอง login เข้า user อื่นก็จะเจอ error code: 530 (ส่วน error message จำไม่ได้)
อันนี้เจอบนเครื่อง HP-UX C3000 ที่เพิ่งลง HP-UX 11.11
คือตอนแรกมันไม่ได้เปิด service ของ ftp เราก็เข้าไปเปิดมันซะ ก็โอเค
มี user root อย่างเดียวด้วย ก็ลอง ftp จากเครื่องอื่นเข้ามา
อืม ดูโอเคไม่มีปัญหา
พอ create user อื่นๆ ดูก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอ ftp จากเครื่องอื่นโดยใช้ user ใหม่
ปรากฏว่าไม่ได้ซะงั้น ก็งงสิ
ตอนแรกก็นึกว่าต้อง setup เหมือน Linux ที่ allow local user หรือ allow anonymous แต่มานึกดู root มันก็ local user นี่หว่า มันยังเข้าได้ แล้ว user อื่นทำไมไม่ได้ - แล้วก็ HP-UX ก็มี config file ของ ftp ไม่เหมือนกันด้วย
config ของ HPUX จะอยู่ที่ /etc/ftpd - เข้าไปดู เป็นห้องว่างเลย ยิ่งงงเข้าไปใหญ่
แต่จากการดู help โดยคำสั่ง man ftpd กับ man ftp
เราก็พบว่ามันมี log file ของ ftpd เลยลองมั่วนิ่มเปิดขึ้นมาดูเผื่อช่วยไรบ้าง
ซึ่งมันก็ช่วย มันบอกว่า login ที่เข้ามาแล้วขึ้น code 530 เกิดจาก Invalid Login Shell (error message น่าจะประมาณนี้ เนื่องจากจำไม่ได้แน่)
ไม่เคยเจอ แต่ check ได้
ผลปรากฏว่า ftp จะตรวจสอบไฟล์ /etc/shells ทุกครั้งว่า login shell ที่เข้ามานั้น ระบบยอมรับหรือไม่
(จะ secure ไปใหน - ไม่บอกกล่าวเลย - ไม่เจอก็ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าทำงี้ได้ด้วย)
ก็ไปเปิด /etc/shells ดู
เออ ไม่มีไฟล์นี้ มิน่า root ถึงเข้าได้คนเดียว
โอเค ก็สร้างไฟล์ขึ้นมา
แล้วก็พิมพ์ตามนี้

แค่นี้ก็เรียบร้อย ไม่ต้อง reboot ด้วย ใช้งานได้เลย อะไรวะ
(รูปเป็นของ linux - จากการตรวจสอบ help ใน CentOS พบว่ามันก็น่าจะใช้ algorithm คล้ายๆกัน คือ check /etc/shells ด้วย)

(note กันลืม - service ของ ftpd บน HP-UX run ได้ 2 แบบ คือ 1. stand alone กับ 2. รันภายใต้ /etc/init.d/inetd scripts - กรณีนี้จะเป็นแบบทีั่ 2 ครับ)
ลอง login เข้า user อื่นก็จะเจอ error code: 530 (ส่วน error message จำไม่ได้)
อันนี้เจอบนเครื่อง HP-UX C3000 ที่เพิ่งลง HP-UX 11.11
คือตอนแรกมันไม่ได้เปิด service ของ ftp เราก็เข้าไปเปิดมันซะ ก็โอเค
มี user root อย่างเดียวด้วย ก็ลอง ftp จากเครื่องอื่นเข้ามา
อืม ดูโอเคไม่มีปัญหา
พอ create user อื่นๆ ดูก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอ ftp จากเครื่องอื่นโดยใช้ user ใหม่
ปรากฏว่าไม่ได้ซะงั้น ก็งงสิ
ตอนแรกก็นึกว่าต้อง setup เหมือน Linux ที่ allow local user หรือ allow anonymous แต่มานึกดู root มันก็ local user นี่หว่า มันยังเข้าได้ แล้ว user อื่นทำไมไม่ได้ - แล้วก็ HP-UX ก็มี config file ของ ftp ไม่เหมือนกันด้วย
config ของ HPUX จะอยู่ที่ /etc/ftpd - เข้าไปดู เป็นห้องว่างเลย ยิ่งงงเข้าไปใหญ่
แต่จากการดู help โดยคำสั่ง man ftpd กับ man ftp
เราก็พบว่ามันมี log file ของ ftpd เลยลองมั่วนิ่มเปิดขึ้นมาดูเผื่อช่วยไรบ้าง
ซึ่งมันก็ช่วย มันบอกว่า login ที่เข้ามาแล้วขึ้น code 530 เกิดจาก Invalid Login Shell (error message น่าจะประมาณนี้ เนื่องจากจำไม่ได้แน่)
ไม่เคยเจอ แต่ check ได้
ผลปรากฏว่า ftp จะตรวจสอบไฟล์ /etc/shells ทุกครั้งว่า login shell ที่เข้ามานั้น ระบบยอมรับหรือไม่
(จะ secure ไปใหน - ไม่บอกกล่าวเลย - ไม่เจอก็ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าทำงี้ได้ด้วย)
ก็ไปเปิด /etc/shells ดู
เออ ไม่มีไฟล์นี้ มิน่า root ถึงเข้าได้คนเดียว
โอเค ก็สร้างไฟล์ขึ้นมา
แล้วก็พิมพ์ตามนี้

แค่นี้ก็เรียบร้อย ไม่ต้อง reboot ด้วย ใช้งานได้เลย อะไรวะ
(รูปเป็นของ linux - จากการตรวจสอบ help ใน CentOS พบว่ามันก็น่าจะใช้ algorithm คล้ายๆกัน คือ check /etc/shells ด้วย)

(note กันลืม - service ของ ftpd บน HP-UX run ได้ 2 แบบ คือ 1. stand alone กับ 2. รันภายใต้ /etc/init.d/inetd scripts - กรณีนี้จะเป็นแบบทีั่ 2 ครับ)
วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552
VmWare Tools Installation in Linux CentOS 5.3
เพื่อการทำงานที่ง่ายหรือสะดวกขึ้นของ Vmware เช่น
การลาก mouse เข้าและออกจาก Guest OS หรือ
การ copy & paste ข้อความจาก Guest OS
จะต้องลง Vmware Tools ซะก่อน
สำหรับการลง Vmware Tools ใน Guest OS ที่เป็น Linux นั้นการลงไม่ยุ่งยาก แต่มีขั้นตอนเล็กน้อย
ต่างจาก Guest OS ที่เป็น Windows ที่สามารถ run setup file ได้้เลย
เริ่มจากกด Ctrl+Alt เพื่อออกมายัง Host OS
ไปที่ menu vm เลือก Install Vmware Tools...

จะมี Warning ขึ้นมาให้เปลี่ยนใจก่อนลง ก็ไม่สนใจ กด Install

ใน Guest OS (linux) ก็จะโชว์เหมือนกับเราได้ใส่แผ่น CD ซึ่งในแผ่น CD นั้นจะมีไฟล์อยู่สองไฟล์ เป็นไฟล์นามสกุล RPM และ TAR.GZ
สำหรับ Linux ที่เป็น RPM based อย่าง Red Hat, Fedora หรือ CentOS ใช้ไฟล์ RPM น่าจะสะดวกกว่า

เข้าใช้งานเป็น super user
สั่ง install rpm package ตามรูป
ง่ายๆ ตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรยุ่งยาก

แต่ก่อนจะใช้งาน จำเป็นต้อง config vmware tools กันนิดหน่อย
โดยให้รัน vmware-tools-config.pl ด้วยสิทธิของ root (ถ้าไม่เป็น root มันก็จะหยุดอย่างรูปนี้ล่ะ)

ตรงนี้ถามไรไม่รุ กด Enter ผ่านไป (ถ้าจะ Enable Feature ใหม่ของ VMCI ก็พิมพ์ yes แล้วกด Enter)

เลือก screen resolution (ทำไมไม่รุ กด Enter ผ่านไป)

มันก็จะทำงานไปเรื่อย

จนเสร็จ

ตาม vmware help แล้ว
เราจะต้องรัน vmware-toolbox & ก่อน (<-- ตรงนี้ run ให้ทำงานเป็น backgroud นะ) บาง OS ก็ต้อง restart ด้วย
แต่ CentOS 5.3 ดูเหมือนจะทำงานได้เลยนะ
การลาก mouse เข้าและออกจาก Guest OS หรือ
การ copy & paste ข้อความจาก Guest OS
จะต้องลง Vmware Tools ซะก่อน
สำหรับการลง Vmware Tools ใน Guest OS ที่เป็น Linux นั้นการลงไม่ยุ่งยาก แต่มีขั้นตอนเล็กน้อย
ต่างจาก Guest OS ที่เป็น Windows ที่สามารถ run setup file ได้้เลย
เริ่มจากกด Ctrl+Alt เพื่อออกมายัง Host OS
ไปที่ menu vm เลือก Install Vmware Tools...

จะมี Warning ขึ้นมาให้เปลี่ยนใจก่อนลง ก็ไม่สนใจ กด Install

ใน Guest OS (linux) ก็จะโชว์เหมือนกับเราได้ใส่แผ่น CD ซึ่งในแผ่น CD นั้นจะมีไฟล์อยู่สองไฟล์ เป็นไฟล์นามสกุล RPM และ TAR.GZ
สำหรับ Linux ที่เป็น RPM based อย่าง Red Hat, Fedora หรือ CentOS ใช้ไฟล์ RPM น่าจะสะดวกกว่า

เข้าใช้งานเป็น super user
สั่ง install rpm package ตามรูป
ง่ายๆ ตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรยุ่งยาก

แต่ก่อนจะใช้งาน จำเป็นต้อง config vmware tools กันนิดหน่อย
โดยให้รัน vmware-tools-config.pl ด้วยสิทธิของ root (ถ้าไม่เป็น root มันก็จะหยุดอย่างรูปนี้ล่ะ)

ตรงนี้ถามไรไม่รุ กด Enter ผ่านไป (ถ้าจะ Enable Feature ใหม่ของ VMCI ก็พิมพ์ yes แล้วกด Enter)

เลือก screen resolution (ทำไมไม่รุ กด Enter ผ่านไป)

มันก็จะทำงานไปเรื่อย

จนเสร็จ

ตาม vmware help แล้ว
เราจะต้องรัน vmware-toolbox & ก่อน (<-- ตรงนี้ run ให้ทำงานเป็น backgroud นะ) บาง OS ก็ต้อง restart ด้วย
แต่ CentOS 5.3 ดูเหมือนจะทำงานได้เลยนะ
วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552
Network File System Error - or what?
หายไปนานเลยแฮะ
วันนี้เจอปัญหาหนัก และยังงงๆว่าจะแห้ยังงัย
เครื่อง Sun Solaris ได้แชร์ไดเร็คทอรีไว้ให้ชาวบ้านมา mount ไปใช้
ก็มีหลายเครื่องที่มาแชร์เลย อย่าง Fedora Core หรือ Sun Solaris ด้วยกันเอง
ใช้มานานมากๆไม่เคยเจอะเจอปัญหาหนักเลย จนช่วงเดือนนี้
เกิดอาการประหลาด
บางไฟล์เห็นว่ามีชื่อชัดๆ แต่เข้าไปใช้งานไม่ได้
แต่พอรีบูตหรือลองลิสต์ไฟล์ใน directory นั้นๆ จะกลับมาใช้ได้ (รีบูตได้ผลชัวร์กว่า)
พอลองเช็ค property ของไฟล์ก็ออกมาเป็นดังรูป ยังงงๆอยู่ หากูเกิ้ลก็ยังไม่มีคำตอบ จะทำยังงัยดี
(ขอค้างปัญหาไว้อย่างนี้ เผื่อใครรู้จะเข้ามาช่วยก็ยินดีคับ ถ้ารู้คำตอบเมื่อไหร่ จะเข้ามาต่อเป็นตอนสองเน้อ...)
วันนี้เจอปัญหาหนัก และยังงงๆว่าจะแห้ยังงัย
เครื่อง Sun Solaris ได้แชร์ไดเร็คทอรีไว้ให้ชาวบ้านมา mount ไปใช้
ก็มีหลายเครื่องที่มาแชร์เลย อย่าง Fedora Core หรือ Sun Solaris ด้วยกันเอง
ใช้มานานมากๆไม่เคยเจอะเจอปัญหาหนักเลย จนช่วงเดือนนี้
เกิดอาการประหลาด
บางไฟล์เห็นว่ามีชื่อชัดๆ แต่เข้าไปใช้งานไม่ได้
แต่พอรีบูตหรือลองลิสต์ไฟล์ใน directory นั้นๆ จะกลับมาใช้ได้ (รีบูตได้ผลชัวร์กว่า)
พอลองเช็ค property ของไฟล์ก็ออกมาเป็นดังรูป ยังงงๆอยู่ หากูเกิ้ลก็ยังไม่มีคำตอบ จะทำยังงัยดี
(ขอค้างปัญหาไว้อย่างนี้ เผื่อใครรู้จะเข้ามาช่วยก็ยินดีคับ ถ้ารู้คำตอบเมื่อไหร่ จะเข้ามาต่อเป็นตอนสองเน้อ...)
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)